climate [ภูมิอากาศ]
ภูมิอากาศ คือ ลักษณะเงื่อนไขของบรรยากาศ ที่อยู่บริเวณใกล้ผิวโลก ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งได้จากการเฉลี่ยข้อมูลสภาพอากาศระยะยาว (หลายทศวรรษ แต่ในวงการอุตุนิยมวิทยาจะใช้ค่าเฉลี่ย 30 ปี) โดยปกติเมื่อกล่าวถึงภูมิอากาศ จะระบุขอบเขตของพื้นที่ เช่น ภูมิอากาศตามละติจูด (latitudinal climates) ภูมิอากาศของภูมิภาค (regional climate) และภูมิอากาศท้องถิ่น
ในแต่ละพื้นที่ รูปแบบของภูมิอากาศจะแตกต่างกัน โดยมีตัวชี้วัดของสภาพอากาศที่สำคัญ ได้แก่ ปริมาณฝนเฉลี่ยรายเดือน อุณภูมิสูง-ต่ำรายวัน ความชื้น จำนวนชั่วโมงที่มีแสงแดด การปกคลุมของเมฆ ความเร็วลม ทิศทางลม พลังงานแสงอาทิตย์ และลมพายุ
โดยทั่วไป การแบ่งโซนภูมิอากาศของโลก จะใช้เส้นละติจูด (ซึ่งเป็นเส้นตัดขวางแนวนอนรอบโลก) เป็นแนวในการแบ่ง โดยใช้เส้นละติจูด 4 เส้น (ไม่นับรวมเส้นศูนย์สูตรตรงกลาง) คือเส้นทรอปปิค (Tropic) ซึ่งเป็นเส้นละติจูดที่ 23.5° และ 66.5° เหนือและใต้ของเส้นศูนย์สูตร
เส้นละติจูดสองเส้นบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรคือเส้น “ทรอปิคออฟแคนเซอร์” (Tropic of Cancer) ที่อยู่ทางตอนเหนือ และเส้น “ทรอปิคออกแคปริคอร์น” (Tropic of Capricorn) ที่อยู่ทางใต้ ซึ่งเส้นทรอบิคนี้เป็นระดับสูง-ต่ำสุดที่พระอาทิตย์อาจขยับขึ้นเหนือหรือลงใต้ได้ ในส่วนปลาย บริเวณใกล้กับขั้วโลกเหนือ-ใต้ ที่ละติจูด 66.5° เหนือและใต้ จะใช้เส้น “อาร์คติดเซอร์เคิล” (Arctic Circle) และ “แอนตาร์คติดเซอร์เคิล” (Antarctic Circle) ตามลำดับ เป็นแนวแบ่งโซนภูมิอากาศ
นอกเหนือจากระยะห่างจากเส้นศูนย์สูตรแล้ว ภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่ยังได้รับอิทธิพลจาระดับความสูงต่ำของพื้นที่ ระยะห่างจากทะเล และปัจจัยทางภูมิศาสตร์อื่นๆ ทำให้ลักษณะภูมิอากาศแตกต่างกันไป โดยทั่วไป มีการแบ่งภูมิอากาศออกเป็น 10 โซน คือ
1. เขตภูมิอากาศร้อนชื้น | Tropical Climates | ฝนตกมากตลอดทั้งปี อุณหภูมิสูงทั้งปี บรรยากาศมีความชื้นสูง มีช่วงฤดูแล้งสั้นๆ |
2. เขตภูมิอากาศกึ่งร้อนชื้น | Subtropical Climates | อุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเขตภูมิอากาศร้อนชื้น มีช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งที่ชัดเจน และนานเท่าๆ กัน |
3. เขตภูมิอากาศแห้งแล้ง | Arid Climates | มีฝนตกค่อนข้างน้อยตลอด อุณหภูมิต่างกันมากในช่วงกลางวัน-กลางคืน และในแต่ช่วงฤดูร้อน-ฤดูหนาว |
4. เขตภูมิอากาศกึ่งแห้งแล้ง | Semi-arid Climates | คล้ายกับภูมิอากาศแห้งแล้ง แต่รุนแรงน้อยกว่า มีปริมาณฝนตกมากกว่า และอุณหภูมิในแต่ละฤดูกาลผันผวนน้อยกว่า |
5. เขตภูมิอากาศเมดิเตอร์เรเนียน | Mediterranean Climates | ในช่วงฤดูร้อน อากาศจะร้อนและแห้ง แต่ในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศเย็นและชื้น |
6. เขตภูมิอากาศอบอุ่น | Temperate Climates | มีฝนตกเฉลี่ยใกล้เคียงกันตลอดปี และมี 4 ฤดูกาลอย่างชัดเจน โดยมีอากาศร้อนในฤดูร้อนและหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว และมีหิมะตกด้วย |
7. เขตภูมิอากาศอบอุ่นทางเหนือ | Northern Temperate Climates | คล้ายกับเขตภูมิอากาศอบอุ่น แต่ฤดูหนาวยาวนานกว่ามาก อาจนานถึง 9 เดือน และปริมาณหิมะตกสูงว่ามาก |
8. เขตภูมิอากาศภูเขาสูง | Mountain Climates | อุณหภูมิค่อนข้างต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับที่ราบที่อยู่บริเวณใกล้กัน มีหิมะตกเป็นประจำ |
9. เขตภูมิอากาศขั้วโลก | Polar Climates | ช่วงฤดูหนาวจะหนาวจัดและกินเวลานานมาก ส่วนฤดูร้อน อากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อย มีหิมะตกบ่อย ส่วนฝนมีน้อยมาก |
10. เขตภูมิอากาศชายฝั่งทะเล | Coastal Climates | อุณหภูมิไม่ต่างกันตลอดทั้งปี ส่วนสภาพอากาศอาจต่างกันตามสภาพของอุณหภูมิของแผ่นดิน-มหาสมุทรบริเวณนั้น |
(1) นิยามโดย WMC
(ก) โดยทั่วไป หมายถึง ความแตกตางของรูปแบบภูมิอากาศแบบตางๆ โดยพิจารณาจากวามีองคประกอบทางอุตุนิยมวิทยาของพื้นที่ใดที่หนึ่ง ที่แตกตางจากคาเฉลี่ยทางสถิติระยะยาว ไมวาจะมีสาเหตุจากอะไร (เชน จากการเปลี่ยนแปลงของรังสีจากดวงอาทิตย การเปลี่ยนแปลงองคประกอบวงโคจรของโลกในระยะยาว กระบวนการทาง
ธรรมชาติ หรือจากการกระทําของมนุษย)
(ข) ใชนความหมายเฉพาะที่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอยางมีนัยสําคัญของคาเฉลี่ย (mean value) ขององคประกอบทางอุตุนิยมวิทยา (โดยเฉพาะอุณหภูมิและปริมาณของ precipitation ) ในชวงระยะเวลาหนึ่ง โดยคาเฉลี่ยดังกลาวไดมาจากการตรวจวัดในระยะยาวหลายทศวรรษหรือนานกวา [WMO (1992), International Meteorological Vocabulary, 2nd Edition, Publication No. 182, WMO’s Website](2) นิยามโดยUNFCCC
การเปลี่ยนแปลงของภูมิอกาศที่มีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย ทั้งโดยตรงและโดยออม ที่ทำใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในองคประกบอของบรรยากาศโลก ซึ่งมากไปกวาการผันผวนของภูมิอากาศ ที่สังเกตุไดในชวงเวลาใกลเคียงกัน [IPCC (1995), Climate Change: A Glossary by the Intergovernmental Panel on Climate Change, IPC’s Website](3) นิยามโดย IPCC
การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ที่เปรียบเทียบกับบันทึกการสังเกตภูมิอากาศ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของปจจัยภายในระบบภูมิอากาศ หรือจากปฏิสัมพันธขององคป ระกอบของระบบภูมิอากาศ หรือจากปจจัยภายนอก ทั้งจากปจจัยทางธรรมชาติ หรือจากกิจกรรมของมนุษย โดยทั่วไป จะไมสามารถแยกแยะปจจัยที่เปนสาเหตุไดชัดเจน ในการทํานายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของอนาคตของ IPCC นั้น โดยทั่วไปจะพิจารณาเฉพาะอิทธิพลตอภูมิอกาศ ที่มาจากกิจกรรมของมนุษยที่ทำใหเกิดกาซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น หรือจากปจจัยที่เกี่ยวของกับมนุษย [IPCC (1995), Climate Change: A Glossary by the Intergovernmental Panel on Climate Change, IPC’s Website]
climate variability [ความผันผวนของภูมิอากาศ]ระบบภูมิอากาศที่แปรปรวนไปจากแบบแผนของภูมิอากาศที่เคยเปนอยูในอดีต ที่แตกต่างไปจากค่าเฉลี่ยทางสถิติ ทั้งในเชิงของพื้นที่ และในเชิงของเวลา เชน ในแตละปจะมีช่วงฤดูรอนและฤดูฝน ซึ่งโดยปกติ จะมีฝนเริ่มตกในปลายเดือนเมษายน (ในกรณีของประเทศไทย) แตถามีฝนตกอยางตอเนื่องตั้งแตตนเดือนเมษายน ก็ถือวามีความผันผวนของฝนเกิดขึ้น ซึ่งความผันผวนของภูมิอากาศนั้นเกิดไดกับฝน (ปริมาณ ชวงเวลาที่ตก การเวนชวงระยะเวลา แล้ง) อุณหภูมิ ลม และสภาพอากาศต่างๆ
(ก) บรรยากาศ (atmosphere) หรือบางครั้งก็เรียก อากาศภาค ซึ่งประกอบด้วยก๊าซต่างๆ ในอากาศ ที่อยู่บนผิวโลก
(ข) อุทกนิเวศ (hydrosphere) ซึ่งประกอบด้วยสิ่งที่เป็นน้ำและของเหลวที่อยู่ใต้ผิวโลกและบนผิวโลก
(ค) น้ำแข็งบนโลก (cryosphere) หิมะและน้ำแข็งที่อยู่ใต้ผิวโลกและบนผิวโลก
(ง) ธรณีภาค (lithosphere) ส่วนเป็นผืนดินของผิวโลก เช่น หิน ดิน
(จ) ชีวมณฑล (biosphere) สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่บนโลก ทั้งพืช สัตว์ รวมทั้งอินทรีย์วัตถุต่างๆ
carbon dioxide equivalent – CDE [ค่าเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์]เป็นค่าที่ระบุปริมาณก๊าซเรือนกระจกชนิดต่างๆ ที่รวมกัน ว่ามีศักยภาพในการทำให้เกิดโลกร้อน (global warming potential – GWP) รวมกันเท่ากันปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนเท่าใด โดยค่าเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์นี้มักจะต้องระบุช่วงระยะด้วย (โดยทั่วไปใช้ระยะเวลา 100 ปี) ค่าเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์นี้ได้จากการคูณปริมาณก๊าซเรือนกระจกนั้นกับค่าศักยภาพในการทำให้โลกร้อน (GWP) และมักจะใช้ในการแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวม หรืออัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายชนิด ในช่วงหนึ่งๆ โดยปกติมักจะช่วยเป็นหน่วยล้าน หรือพันล้านตันของเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ (million meteric tones of CO2 equivalent = MMTCDE หรือ billion metric tonnes of CO2 equivalent = giga tonnes of CO2 equivalent GtCO2eq)
ค่าเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์นี้มีต่างจาก คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (Equivalent carbon dioxide – CO2e)
carbon footprint [รอยเท้าคาร์บอน]เป็นข้อมูลประมาณของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบุคคล องค์กร หรือกิจกรรม ซึ่งได้จากผลรวมของกิจกรรมสองประเภท คือ Primary Footprint คือ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอซซิล การขนส่ง การเดินทางโดยเครื่องบิน เป็นต้น และ Secondary Footprint คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ โดยประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ผลิตภัณฑ์ ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประกอบชิ้นส่วน การใช้งาน และการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน [ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน “life cycle assessment“] โดยการคำนวณรอยเท้าคาร์บอนทั้งสองประเภทจะทำออกมาในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (นิยมใช้หน่วยกิโลกรัมหรือตัน)
คำนิยามอื่นๆของรอยเท้าคาร์บอน คือ ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่มาจากการกระทำของมนุษย์แต่ละคนในระยะเวลา 1 ปี (ซึ่งรวมถึงการปล่อยออกมาผ่านการใช้พลังงานด้วย) นิยามนี้ให้ความสำคัญเรื่องของการคำนวณปริมาณคาร์บอนของแต่ละบุคคล ซึ่งมาจากแนวความคิดที่ว่ารอยเท้านี้เป็นสิ่งที่มาจากการกระทำของมนุษย์ทุกคนรวมกัน รอยเท้าคาร์บอนอาจจะพิจารณาเฉพาะการปล่อยโดยตรงอย่างเดียว (คำนวณจากปริมาณพลังงานที่ใช้ในครัวเรือนและการขนส่ง รวมไปถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน รถไฟ หรือการขนส่งสาธารณะอื่นด้วย) หรืออาจจะรวมเอาการการปล่อยทางอ้อมไว้ด้วยก็ได้ (รวมปริมาณแก๊สคาร์บอสได้ออกไซด์ที่เป็นผลมาจากสินค้าและบริการที่บริโภคในแต่ละวัน) การคำนวณจากล่าขึ้นบนจะให้ผลรวมเป็นปริมาณแก๊สคาร์บอสไดออกไซด์ที่แต่ละคน ปล่อยออกมาจากกิจกรรมของตัวเอง
การประเมินรอยเท้าคาร์บอนมีประโยชน์ในแง่
- แสดงปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่มาจากผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น
- รับทราบผลกระทบของแต่ละขั้นตอนในการผลิตผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถที่จะแจกแจงและดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ในการลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต
- สำหรับใช้ในการติดฉลากคาร์บอนบนสินค้า เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้เลือกสินค้าที่มีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- สำหรับใช้ในการชดเชยคาร์บอนของบุคคลหรือองค์กร เพื่อที่จะช่วยสนับสนุนให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในที่อื่น ที่มาชดเชยให้กับกิจกรรมของตัวเอง
carbon label [ฉลากคาร์บอน]
บางครั้งก็เรียกสั้นๆ ว่า ฉลากรอยเท้าคาร์บอน ซึ่งเป็นฉลากสำหรับใช้บนผลิตภัณฑ์ที่แสดงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์นั้นๆ [ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน “carbon footprint“]
เกณฑ์หรือประเภทของฉลากคาร์บอนแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
- ฉลากคาร์บอนที่เป็นแบบ carbon footprint ที่บ่งบอกถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสินค้าชนิดเดียวกันอาจจะมีการใช้วัตถุดิบตั้งต้นที่แตกต่างกัน รวมถึงมีระยะทางการขนส่งไม่เท่ากัน ย่อมมีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแตกต่างกันโดยธรรมชาติ เช่น สินค้าที่ผลิตในท้องถิ่น (Local products) ที่อาจจะมีการผลิตที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่าใดนักเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่ผลิตจากต่างพื้นที่ ในที่สุด สินค้าที่สองชิ้นนี้อาจจะมีฉลาก carbon footprint ที่เท่ากันก็ได้
- ฉลากคาร์บอนที่บ่งบอกระดับปริมาณลดลงของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงนั้นอาจจะมาจาก “ฐาน” การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกัน เช่น แชมพูสระผมยี่ห้อ a ติดฉลากคาร์บอนบ่งบอกว่าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20 กรัมต่อสินค้า (ซึ่งเดิมเคยปล่อย 100 กรัมต่อสินค้า 1 ชิ้น) ในขณะที่ยี่ห้อ b ก็ติดฉลากบ่งบอกว่าลดก๊าซเรือนกระจก 20 กรัมต่อสินค้าเช่นกัน (แต่เดิมเคยปล่อย 150 กรัมต่อสินค้า 1 ชิ้น) ดังนั้น สินค้าทั้งสองชนิดปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เท่ากัน ทั้งๆ ที่จะมี “ตัวเลข” บนฉลากเท่ากัน นั่นคือ 20 กรัมต่อสินค้า 1 ชิ้น
- ฉลากคาร์บอนจะบ่งบอกอัตราการลด (ร้อยละ) ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสินค้า 2 ชนิดมีฉลากที่บ่งบอกว่าอัตราการลด คือ 10% แต่หากปริมาณการปล่อยดั้งเดิมนั้นไม่เท่ากัน เช่น ย่อมหมายถึงว่า สินค้าทั้งสองชนิดย่อมปล่อยก๊าซเรือนกระจกแตกต่างกัน เช่น สินค้า c เดิมเคยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 100 กรัม ต่อสินค้า ดังนั้น ปัจจุบันปล่อยเพียง 90 กรัมต่อสินค้า ในขณะที่สินค้า d เดิมเคยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 150 กรัมต่อสินค้า ในขณะที่สินค้า d เดิมเคยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 150 กรัมต่อสินค้า ดังนั้น ปัจจุบัน ปล่อยเพียง 135 กรัมต่อสินค้า ซึ่งยังมากกว่าสินค้า c ทั้งๆ ที่ฉลาก ระบุตัวเลขเท่ากัน
- ฉลากคาร์บอนที่บ่งบอกการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการลดก๊าซเรือนกระจก เฉพาะกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นที่นิยม เนื่องจากง่ายต่อการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากการขนส่งเป็นต้นกำเนิดของก๊าซเรือนกระจกที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูง
ฉลากคาร์บอนเกิดขึ้นครั้งแรกในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภค โดย Tesco Plc. ซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ ได้เริ่มติดสลาก Carbon Footprint บนภาชนะบรรจุสินค้า ภายใต้ Private brand ของตนเอง ประมาณ 20 รายการ วางขายในห้าง Tesco ทั่วประเทศ และการติดป้ายบอกจำนวนคาร์บอนก็ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรป เป้าหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เห็นและเข้าใจได้ง่ายว่า สินค้าแต่ละชนิด เป็นที่มาของคาร์บอนไดออกไซด์ในขบวนการผลิต ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มากน้อยเพียงใด และให้ผู้ซื้อเป็นผู้ตัดสินใจ
ข้อดีของฉลากคาร์บอน
- ในแง่ของการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อพิจารณาเป้าหมายในการทำฉลากคาร์บอนแล้ว จะทำให้เห็นข้อมูลและเข้าใจได้ง่ายว่า สินค้าแต่ละชนิดนั้นเป็นที่มาของคาร์บอนไดออกไซด์ในขบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใดและให้ผู้ซื้อเป็นผู้ตัดสินใจ
- เมื่อมีการนำมาตรการฉลากคาร์บอนมาใช้กับสินค้า ถือเป็นการส่งเสริมหรือกระตุ้นให้บริษัทผู้ผลิตตื่นตัวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้สลากใหม่ที่จะได้รับความสนใจและส่งผลต่อการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค
- มาตรการฉลากคาร์บอนจะนำไปสู่การปรับปรุงขบวนการผลิตและระบบการจำหน่ายสินค้าครั้งใหญ่ของผู้ผลิตแต่ละราย เพราะในอนาคตการติดตามรอยเท้าคาร์บอนเพื่อทำฉลากคาร์บอน อาจกลายเป็นข้อมูลที่ผู้ซื้อมองหาและเห็นว่าจำเป็นต้องรับรู้ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ท่ามกลางกระแสของโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงไปของภูมิอากาศ
- ในอนาคต การแข่งขันในตลาดอาจจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะราคา คุณภาพมาตรฐาน การออกแบบหรือรสชาติ เพราะการแข่งขันของสินค้าต่อไปคงจะต้องเน้นที่สินค้านั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับสากล หากกฎระเบียบใหม่ที่อาจส่งผลต่อการกีดกันทางการค้า ฉลากคาร์บอน จึงอาจต้องเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นที่ผู้ผลิตต้องนำมาใช้
ข้อด้อย
เนื่องจากการกำหนดมาตรฐานฉลากคาร์บอนมีหลายลักษณะหรือหลายรูปแบบ ดังนั้น อาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเพื่อการส่งออก เนื่องจากแต่ละประเทศมีมาตรฐานไม่เหมือนกัน ผู้ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกและต้องการติดฉลากคาร์บอนอาจต้องเผชิญกับปัญหาความแตกต่างของกฏเกณฑ์ด้านฉลาก และอาจมีผลต่อการเพิ่มต้นทุนแก่ผู้ผลิต