ในพิธีเปิดงาน ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ เลขาธิการ ส.ป.ก. ได้กล่าวถึงวิกฤติสำคัญที่เกษตรกรไทยกำลังประสบอยู่มีอยู่ 3 ด้าน คือ โครงสร้างอายุของเกษตรกรที่สูงขึ้น (เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะทำอาชีพการเกษตร) การแข่งขันทางการค้าจากการเปิดการค้าเสรี (โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนและประเทศอื่นๆ ที่ประเทศไทยทำข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้าด้วย) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบทางลบต่อระบบการเกษตรไทย
แนวทางในการปฏิรูประบบการเกษตรไทยในความเห็นของเลขาธิการ ส.ป.ก. ประกอบด้วยการพัฒนาคน ซึ่งเกษตรกรจะต้องเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ส.ป.ก. จะให้ความสำคัญกับองค์ความรู้พื้นบ้านที่ปราชญ์ชาวบ้านจำนวนมากยังคงสืบทอดต่อกันมา และการปรับปรุงกระบวนการผลิตทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่การเข้าถึงที่ดิน โดยการจัดตั้งธนาคารที่ดิน และพระราชบัญญัติเพื่อการคุ้มครองที่ดินเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการเกษตรเท่านั้น โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตชลประทาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐได้ลงทุนในการปรับปรุงระบบชลประทานไว้ให้แล้ว (มูลค่าการลงทุนของรัฐในที่ดินเหล่านี้อาจสูงเป็นเงินหลายล้านบาท)
ส่วนในเรื่องน้ำนั้น การส่งเสริมให้มีการจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กในไร่นามีความสำคัญ เพราะการลงทุนในโครงการชลประทานขนาดใหญ่นั้นต้องใช้งบประมาณที่สูงและไม่น่าจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิิจ ซึ่งแหล่งน้ำขนาดเล็กในไร่นาน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรรายย่อย
การพัฒนาเครื่องจักรกลขนาดเล็กสำหรับเกษตรกรรายย่อยเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร เนื่องจากอายุเฉลี่ยของเกษตรกรที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ กระบวนการส่งเสริมต้องให้ความสัมพันธ์กับห่วงโซ่ผลผลิต ที่เชื่อมโยงจนถึงการตลาด ซึ่งการสนับสนุนให้ผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์สามารถเข้าถึงตลาดเป็นหลักประกันคงมั่นคงในการรายได้ของเกษตรกร ทาง ส.ป.ก. จึงได้ริเริ่มเปิดร้าน “สายใยออร์แกนิค @ ส.ป.ก.” เพื่อกระจายผลผลิตเกษตรอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกรรายย่อย จึงเป็นอีกแนวทางรูปธรรมหนึ่งในการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบเกษตรของประเทศไทย