ลักษณะเด่นของสายพันธุ์
ขนาดผลยาว สีเขียวอ่อน ผลลาย ให้ผลดก แข็งแรงทนกับสภาวะฝนตกติดต่อกันหลายๆ วัน
ดิน/สภาพอากาศ
เป็นพืชที่ชอบแดด ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ปลูกได้ดีในช่วงหน้าฝน ช่วงเดือน พฤษภาคม มิถุนายน
คำแนะนำในการปลูก
แช่เมล็ดในน้ำ 2-3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอกก่อนปลูก ใช้เมล็ดหยอดตามหลุมที่เตรียมไว้ หลุมละ 2-3 เมล็ด เมื่อมีใบแท้สองใบจึงค่อยถอนแยกให้เหลือต้นที่สมบูรณ์ 2 ต้นต่อหลุม เมื่อต้นพืชอายุ 20-25 วัน ให้ทำค้างเตรียมไว้ให้เถาเลื้อยขึ้น ระยะห่างระหว่างแถว 150×150 cm
การดูแลรักษา
การให้ปุ๋ย ครั้งที่ 1, 2 เมื่อต้นพืชอายุได้ 15-20 วัน, 60-70 วัน ก่อนออกดอก ให้ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้ว (ให้สังเกตพืชด้วยว่าปุ๋ยหมักเพียงพอกับความต้องการหรือไม่อาจจะให้เพิ่มอีกได้)
การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้พอเหมาะกับพืชไม่ควรให้แห้งหรือแฉะมากเกินไป (ให้คอยสังเกตที่ดินปลูก)
การถอนแยก ทำเมื่อมีใบแท้สองใบออก ค่อยถอนแยกให้เหลือต้นที่สมบูรณ์ 2 ต้นต่อต่อหลุม
ต้องทำค้างเพื่อให้เถาเลื้อยขึ้นเพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยว เมื่อต้นพืชอายุ 25-30 วัน ให้ทำค้างเตรียมไว้ให้เถาเลื้อยขึ้น และต้องหมั่นเก็บเถาขึ้นค้างในช่วงแรก และให้บำรุงด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมัก 3 เดือนแล้ว
โรค – แมลง
กรณีโรคในบวบหอมยังไม่พบ แต่ก็มีแมลงมารบกวนกินใบ, ดอกและผล ถ้ามีไม่มากก็ให้ใช้วิธีการกำจัดด้วยมือหรือกำจัดโดยการใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่น
ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว
ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว 70-75 วันหลังปลูก
การเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อทำพันธุ์ต่อไป
เมื่อบวบหอมอายุ 120 วัน สีของฝักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ผลแห้งและเบาก็สามารถเก็บมาตากแดด 3-4 แดด เพื่อให้เปลือกแห้งสนิท หลังจากนั้นให้นำเอาเมล็ดออกจากฝักและทำความสะอาดแล้วนำไปตากแดดอีก 2-3 แดด จากนั้นนำมาผึ่งในร่มให้เย็นแล้วค่อยเก็บใส่ถุงกระดาษ แล้วเขียนชื่อ/วันเดือนปีที่เก็บแล้วพับใส่ในถุงพลาสติกรัดปากถุงแล้วเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อรักษาอัตราการงอกและลดการหายใจของเมล็ดพันธุ์ให้น้อยที่สุด จะสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ได้นานมากกว่าสองปีขึ้นไป หรือมีอีกวิธีในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์บวบหอมคือ การเก็บทั้งฝักโดยการแขวนไว้ในที่ร่ม แต่อัตราการงอกจะลดลงเรื่อยๆ เพราะสภาพอากาศภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมล็ดพันธุ์อาจจะเก็บไว้ใช้ได้แค่ปีเดียว